อาการปวดหลังหัวใจวายเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เท่ากับการสูบบุหรี่ ผลการศึกษาสรุป

อาการปวดที่คงอยู่หนึ่งปีหลังจากหัวใจวายอาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเทียบได้กับผลกระทบของการสูบบุหรี่และโรคเบาหวาน ตามผลการศึกษาใหม่ของผู้ป่วยเกือบ 100,000 คนโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดาลาร์นา สภาภูมิภาคดาลาร์นา สถาบัน Karolinska และมหาวิทยาลัยอุปป์ซาลา

นักวิจัยได้ติดตามผู้ป่วย 98,400 รายที่ลงทะเบียนในทะเบียนคุณภาพแห่งชาติ SWEDEHEART หลังจากหัวใจวายนานถึง 16 ปี และพบว่าผู้ป่วยที่รายงานอาการปวดหลังจากหัวใจวายหนึ่งปีมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เกณฑ์นี้ยังรวมถึงผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเจ็บหน้าอกด้วย ซึ่งบ่งชี้ว่าอาการปวดไม่ว่าจะปวดที่ตำแหน่งใดในร่างกายก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้

“เราพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรงมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตระหว่างการติดตามผลสูงกว่าผู้ที่ไม่มีอาการปวดถึง 70% ซึ่งทำให้อาการปวดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่และความดันโลหิตสูง” ลาร์ส เบิร์กลุนด์ รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยดาลาร์นา สังกัดมหาวิทยาลัยอุปป์ซาลา กล่าว

ความเจ็บปวดเพิ่มความเสี่ยง แม้ไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

ผลการวิจัยนี้ยังคงเป็นจริงสำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคเบาหวาน

“เราพบว่าแม้แต่ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักปกติอายุน้อยและไม่มีอาการอื่นๆ ที่รายงานว่ามีอาการเจ็บหน้าอก ก็มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ยังรวมถึงผู้ที่ไม่มีอาการเจ็บหน้าอกด้วย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอาการปวดเรื้อรัง ไม่ว่าจะปวดที่ตำแหน่งใด มักเป็นความเสี่ยงที่มักถูกมองข้ามในการปฏิบัติงานด้านโรคหัวใจ” โยฮัน เอิร์นลยอฟ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยดาลาร์นาและสถาบันคาโรลินสกา กล่าว

อาการปวดเรื้อรังเป็นปัญหาที่พบบ่อย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดยังคงถูกประเมินต่ำเกินไป ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้อาการปวดเรื้อรังเป็นโรคที่แยกจากโรคอื่น นักวิจัยระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่วงการแพทย์ควรกำหนดให้อาการปวดเรื้อรังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่แยกจากโรคอื่นด้วย

“เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับอาการปวดเรื้อรังในฐานะปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แทนที่จะเป็นเพียงอาการ การศึกษานี้จะเพิ่มความเข้าใจของเราเกี่ยวกับผลกระทบของอาการปวดต่อการพยากรณ์โรคระยะยาวหลังหัวใจวาย” ลาร์ส เบิร์กลุนด์ กล่าว

การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากทะเบียนคุณภาพ SWEDEHEART และครอบคลุมผู้ป่วย 98,400 ราย ในช่วงระยะเวลาสังเกตการณ์ (สูงสุด 16 ปี) มีการบันทึกผู้เสียชีวิตเกือบ 15,000 ราย หนึ่งปีหลังจากเกิดอาการหัวใจวาย ผู้ป่วย 43% รายงานอาการปวดเล็กน้อยหรือรุนแรง

โครงการนี้เป็นการติดตามผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ. 2566 ซึ่งครอบคลุมผู้ป่วย 18,000 คน และติดตามพวกเขาเป็นเวลาประมาณแปดปี ดังนั้น การศึกษาปัจจุบันจึงใช้ชุดข้อมูลที่มีขนาดใหญ่กว่าถึงห้าเท่า ซึ่งให้หลักฐานที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างความเจ็บปวดระยะยาวและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรหลังจากหัวใจวาย

การศึกษานี้ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยดาลาร์นา สภาภูมิภาคดาลาร์นา และมหาวิทยาลัยอุปซอลา ผลการศึกษาได้รับการตีพิมพ์ในวารสารIJC Heart & Vasculature