ไวรัสมะเร็งเม็ดเลือดขาวซ่อนตัวอยู่ในร่างกายได้อย่างไร และมีความหมายต่อการรักษาในอนาคตอย่างไร

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยคุมาโมโตะได้ค้นพบสิ่งใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าไวรัสมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์มนุษย์ชนิดที่ 1 (HTLV-1) ดำรงชีวิตอย่างเงียบเชียบในร่างกายได้อย่างไร การค้นพบนี้อาจเป็นรากฐานสำหรับการพัฒนาวิธีการรักษาแบบใหม่ ในบทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารNature Microbiologyพวกเขาได้ค้นพบ “ตัวยับยั้ง” ทางพันธุกรรมที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน ซึ่งทำให้ไวรัสอยู่ในสภาวะพักตัวและไม่สามารถติดตามได้

HTLV-1 เป็นไวรัสเรโทรก่อมะเร็งที่สามารถทำให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว/มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดทีเซลล์ในผู้ใหญ่ (ATL) ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงและมักทำให้เสียชีวิต แม้ว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่มีอาการตลอดชีวิต แต่ในที่สุดก็อาจมีบางกลุ่มย่อยที่พัฒนาเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือโรคอักเสบอื่นๆ ไวรัสนี้จะคงอยู่ได้ในระยะยาวโดยเข้าสู่สถานะ "แฝง" ซึ่งสารพันธุกรรมของไวรัสจะซ่อนตัวอยู่ในจีโนมของโฮสต์โดยมีกิจกรรมน้อยที่สุด จึงหลีกเลี่ยงการตรวจพบโดยระบบภูมิคุ้มกัน

ในการศึกษานี้ ทีมวิจัยนำโดยศาสตราจารย์โยริฟูมิ ซาโตะ จากศูนย์วิจัยร่วมเรโทรไวรัสในมนุษย์ มหาวิทยาลัยคุมาโมโตะ ได้ระบุบริเวณเฉพาะในจีโนมของไวรัส HTLV-1 ที่ทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งไวรัส ลำดับนี้ดึงดูดปัจจัยการถอดรหัสของโฮสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอมเพล็กซ์ RUNX1 ซึ่งยับยั้งการแสดงออกของยีนไวรัส เมื่อบริเวณนี้ถูกลบหรือกลายพันธุ์ ไวรัสจะยิ่งทำงานมากขึ้น ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำและกำจัดไวรัสได้ดีขึ้นในแบบจำลองในห้องปฏิบัติการ

ที่น่าทึ่งคือ เมื่อนำ “สารระงับ” HTLV-1 นี้ใส่เข้าไปในจีโนมของไวรัส HIV-1 ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ เอชไอวีจะแฝงตัวมากขึ้น โดยมีการจำลองตัวเองลดลงและฤทธิ์ทางไซโทพาธีลดลง สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่ากลไกสารระงับนี้อาจนำไปใช้พัฒนาวิธีการรักษาเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้เช่นกัน

“นี่เป็นครั้งแรกที่เราค้นพบกลไกในตัวที่ช่วยให้ไวรัสมะเร็งเม็ดเลือดขาวในมนุษย์สามารถควบคุมการล่องหนของตัวเองได้” ศาสตราจารย์ซาโตะกล่าว “มันเป็นกลวิธีทางวิวัฒนาการอันชาญฉลาด และตอนนี้ที่เราเข้าใจแล้ว เราก็สามารถเปลี่ยนแนวทางการรักษาได้”

ผลการวิจัยเหล่านี้ให้ความหวังไม่เพียงแต่สำหรับการทำความเข้าใจและการรักษา HTLV-1 โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีการระบาด เช่น ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการติดเชื้อไวรัสย้อนกลับในวงกว้างอีกด้วย